ฮาร์เลมเชก (มีม)
ฮาร์เลมเชก (อังกฤษ: Harlem Shake) คืออินเทอร์เน็ตมีมที่แพร่กระจาย (viral) ในเว็บไซต์ยูทูบในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 เป็นรูปแบบของวิดีโอที่เริ่มทำเลียนแบบ ในแนวความคิดลักษณะเดียวกัน[2]
มีมนี้เกิดขึ้นจากวิดีโอที่อัปโหลดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ โดย เดอะซันนีโคสต์สเกต โดยวัยรุ่น 5 คนจากรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งวิดีโอของวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้ทำตามวิดีโอของวีลอกเกอร์แนวขบขันบนยูทูบที่ชื่อ ฟิลที แฟรงก์[3][4] โดยส่วนหนึ่งของวิดีโอ จะเต้นตามเพลง "ฮาร์เลมเชก" ของเบาเออร์[5][6]
แนวคิด
[แก้]วิดีโอมีความยาว 30 วินาที โดยตัดท่อนหนึ่งของเพลง "ฮาร์เลมเชก" ของศิลปินแนวอิเล็กทรอนิกส์ที่ชื่อ เบาเออร์ โดยมากแล้ววิดีโอจะเริ่มโดยมีคนหนึ่งคน (โดยมากจะสวมหมวกกันน็อกหรือหน้ากาก) เต้นไปตามจังหวะเพลงคนเดียวเป็นเวลา 15 วินาที โดยมีคนอื่นที่ไม่สนใจอะไรหรือไม่รู้ว่ามีคนเต้นอยู่ จากนั้นหลังเสียงเบสลดลง จึงตัดวิดีโอเข้าไปที่ฝูงคนที่เต้นอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลาอีก 15 วินาที ในครึ่งหลังของเพลงนี้ ผู้คนมักจะใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นหรือเสื้อผ้าแปลก ๆ หรือถืออุปกรณ์แปลก ๆ[7][8]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Rodriguez, Salvador (December 16, 2017). "Eight things killing the Harlem Shake". The Los Angeles Times.
- ↑ Goodman, Will (February 12, 2013). ""The Harlem Shake" phenomenon keeps going strong (with grandmas and military)". CBS News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-02-18. สืบค้นเมื่อ February 12, 2013.
- ↑ Zeichner, Naomi (February 15, 2013). ""FADER Explains: Harlem Shake". The Fader, Inc.
- ↑ "Will the Harlem Shake viral meme ever stop?". 2013-02-15. สืบค้นเมื่อ 2013-02-15.
A group of teenagers known as The Sunny Coast Skate from Queensland Australia, were the first to respond and the rest, as they say, is history.
- ↑ Peppers, Margot (19 February 2013). "Making the Harlem Shake: Meet the man behind internet's hottest new craze". Daily Mail.
- ↑ Holpuch, Amanda (19 February 2013). "Harlem Shake: Baauer cashes in on viral video's massive YouTube success". The Guardian.
- ↑ "Inventor of Harlem Shake Interview". InsideHoops. August 13, 2003. สืบค้นเมื่อ February 15, 2013.
- ↑ "Harlem Shake meme obscuring dance's history, critics argue". cbcnews. February 18, 2013.